Saturday, September 16, 2006

เพศศึกษา

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมบางภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส ถึงได้มีการกำหนดเพศของคำนาม รวมทั้งคำสรรพนาม คำคุณศัพท์ และใช้กฎเกณฑ์อะไรในการจำแนกเพศของคำเหล่านั้น

ผมลองตั้งสมมติฐานง่ายๆขึ้นมา 1 ข้อ หากมีใครสักคนคิดแยกเพศของคำ ก็น่าจะอิ่งเอียวกับสัญลักษณ์ของเพศสภาวะอันมีอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่น คน สัตว์ สิ่งของ ที่มีสัณฐานยาว ปลายมน หรือเป็นทรงกระบอก อย่าง มะเขือยาว(ทั้งที่เผาแล้วและยังไม่ได้เผา) ปลาไหล กระป๋อง กุนเชียง ข้าวหลาม ตอปิโด น่าจะเป็นเพศชาย ส่วน ข้าวต้มมัด กีบอูฐ ข้อต่อของร่างกาย(ยาม flex เต็มที่) หอย 2 กาบ ก็น่าจะเป็นเพศหญิง

หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับรูปแบบชีวิตของแต่ละเพศที่คนส่วนใหญ่รับรู้กันมานมนาน อย่างเช่น กางเกงเป็นเพศชาย และกระโปรงเป็นเพศหญิง ส่วนสาเหตุที่ทำไมผู้ชายต้องใส่กางเกง ผู้หญิงต้องใส่กระโปรง ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความสะดวกในการปัสสาวะมากกว่าอย่างอื่น ในเมื่ออวัยวะของผู้ชายเพียงแค่ควักออกมาจากซิปหรือกระดุมที่ปิดอยู่ก็เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ส่วนผู้หญิงเมื่อไม่สามารถยืนปัสสาวะได้กระโปรงเลยกลายเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกปิดความอุจาดได้เป็นอย่างดี(นี่ผมพูดถึงสมัยที่ยังไม่มีห้องน้ำใช้นะครับ) เมื่อปฏิบัติสืบต่อกันเรื่อยมา มันเลยกลายเป็นตัวแทนของเพศไปโดยปริยาย ถึงแม้ผู้หญิงจะใส่กางเกงได้ด้วยแต่ผมคิดว่ากางเกงก็ยังจัดเป็นลักษณะของเพศชาย(แม้จะไม่ค่อยได้ feel เหมือนแต่ก่อนก็ตาม)

แต่เอาเข้าจริง ลองไปเปิดตำราไวยากรณ์ภาษาฝรั่งเศสดู ถึงได้รู้ว่า ชื่อ วัน เดือน ฤดู ต้นไม้ และคำที่ลงท้ายด้วย -ier, -ment, -cle, -ail เป็นเพศชาย และ คำที่ลงท้ายด้วย -con,-ion,-son เป็นเพศหญิง แสดงว่าเพศตามความหมายทางชีวะกับนัยยะแห่งไวยากรณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย

เพราฉะนั้นสมมติฐานที่ผมตั้งขึ้นมาจึงไม่น่าจะใช้ได้? แต่ลองคิดวิเคราะห์ดูอีกที คน สัตว์ สิ่งของ อารมณ์ความรู้สึก และอีกหลายๆ อย่างในสังคมปัจจุบันต่างก็มีความคิดเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งแมนมาก มันบอกว่าไม่กล้าใส่เสื้อสีชมพู คงเพราะสีชมพูไม่เหมาะกับผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นสีชมพูจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ทางเพศหญิง หรือเกย์ กระเทย ในสายตาของเพื่อนผมคนนี้ ตัวอย่างนี้เข้าใจได้ไม่ยาก แต่เพื่อนผมอีกคนแมนเหมือนกันไม่กล้าที่จะกินส้มตำ! ดังนั้นส้มตำจึงดูเหมือนไม่ใช่สัญลักษณ์เพศชายสำหรับมัน ตัวอย่างนี้เล่นเอามึนตื้บเพราะไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย

ลองมาดูทางด้านดนตรีกันบ้าง เพลง pop,boy band น่าจะป็นเพศหญิง และเพลง rock น่าจะเป็นเพศชาย ส่วน DIVA ทั้งหลายก็เป็นเพศเกย์และกระเทย ด้านเครื่องดนตรี ขิม น่าจะเป็นสัญลักษณ์เพศหญิง กีตาร์ ระนาด เป็นของเพศชาย เพื่อนสาวผมคนหนึ่งถึงกับใช้ความสามารถในการเล่นกีตาร์ได้ เป็นcriteria ในการแยกชายแท้ออกจากชายเทียมเลยนะครับ ทางด้านกีฬา แน่นอนฟุตบอล(ไม่รวมนักฟุตบอลหล่อๆ อย่างเดวิด เบคแฮ่ม หรือ ไมเคิ่ล โอเว่น)บาสเก็ตบอล ย่อมต้องแสดงออกถึงเพศชาย ส่วนกระโดดยาง วิ่งเปียว วอลเลย์บอล ยิมนาสติกลีลา คงไม่แคล้วต้องเป็นเพศหญิง

ยังมีอีกหลายตัวอย่างที่จาระไนไม่หวาดไม่ไหว ลองคุณผู้อ่านนั่งคิดแยกทำเป็นตารางดูสิครับจะค้นพบว่ามันสนุกมากเสียจนลืมไปว่า วันนี้เป็นวันที่น่าเบื่อเลยเชียวแหละ

และหากจะมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตทางด้านภาษาไทยคิดแยกเพศของคำขึ้นมา ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูก็ได้นะครับแต่อย่าลืมว่าอาจจะต้องมีพื้นที่สำหรับเพศที่ 3ด้วย

เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงนะยะตัวเอง

sptember 15,2006
sirisak

Friday, September 15, 2006

ความในใจ

เมื่อแรกที่เพื่อน บ.ก. หนังสือรุ่นยื่นคำขาดให้เขียนความรู้สึกภายในใจต่อโรงเรียน "ศิริราช" ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ให้เกิดความรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลส่วนตัวของผมที่ยังไง๊ ยังไงก็คิดไม่ออกเสียที่ว่ามีความรู้สึกดีๆ (แบบที่หลายคนต้องการ) อะไรบ้าง ครั้นพอจะข่มใจเขียนก็กลัวจะโกหกตัวเองชมสถาบันซะจนหวานเลี่ยน แล้วแอบมานั่งก่นด่าเงียบๆอยู่ในใจ

มันเป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือที่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ดีเลิศเพอร์เฟคท์ร้อยเปอร์เซนต์ เพียงแต่ตัวเราเองนั่นแหละจะเลือกเสพความจริงข้อนี้ในด้านไหน เพราะต่างคนต่างจิตต่างใจ รักหรือเกลียดขึ้นอยู่กับประสบการณ์ดีหรือร้าย ที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต ผมจึงเห็นสมควรด้วยประการทั้งปวงสกิ๊ปเรื่องความรู้สึกมาระลึกถึงอดีตกันดีกว่า

หากลองมองย้อนกลับไปสมัยพวกเราทั้งหลายยังเป็นเด็ก(ตั้งใจ)เรียน และไม่รู้เดียงสา มีสักกี่คนตบเท้าเข้ามาเรียนแพทย์ โดยรู้ว่าแพทย์นั้นแท้จริงแล้วมีชีวิตอย่างไร นอกเหนือจากรู้ว่าเป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนเรียนเก่ง แล้วนิยามของคำว่าเก่งก็หนีไม่พ้น เก่งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และอีกหลายวิชาที่เมื่อเอาคะแนนมารวมกันแล้วสูงพอสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ บวกกับพลังขับเคลื่อนของบุคคลใกล้ชิด สังคมรอบข้าง คอยส่งเสริม ผลักดันให้เด็กเรียนเก่งอย่างพวกเรา เห็นดีเห็นงามแบบไร้ข้อโต้แย้งหรือแม้แต่จะคิด ว่ายังมีอาชีพไหนอีกหนอที่พอจะเลี้ยงตัวเองรอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่นอกจากอาชีพแพทย์!

ด้วยเหตุนี้เองเด็กเก่งระดับหัวกะทิของเมืองไทยถึงได้หลั่งไหลเข้ามาเรียนแพทย์ตามค่านิยมอันถูกกำหนดขึ้นมาอย่าฝังแน่น ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เมื่อหลายคนเข้ามาเรียนเพราะความไม่รู้ พอเจออุปสรรคชิ้นใหญ่อย่างการเรียนที่หนัก การฟ้องร้องซึ่งมีมากขึ้นมากๆ เลยพาลหมดอารมณ์เรียนเอาเสียดื้อๆ ความรู้สึก กลางๆที่มีอยู่ จึงมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทางลบมากขึ้น ครั้นพอเรียนจบก็เลยหนีไม่พ้นการลาออก หรือเปลี่ยนสายอาชีพของแพทย์อย่างที่ไม่มียุคไหนเฟื่องฟูเท่ายุคนี้มาก่อน

ถึงแม้จะเพิ่มฐานการผลิตแพทย์ให้มากขึ้นก็ยังไม่พอต่อความต้องการ (เพราะผลผลิตที่ได้ก็คิดหนีออกนอกระบบอยู่เหมือนกัน) หากยังมองข้ามในจุดนี้ ถึงตอนนี้คงมีใครหลายๆคน(รวมทั้งตัวผม)อยากย้อนเวลากลับไปยังสมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน แล้วลดความเก่งของตัวเองลงบ้าง เผื่อจะมีชีวิตแตกต่างจากที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้

ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้หมายรวมว่านักศึกษาแพทย์ทั้งประเทศจะมีความคิดแบบผม และข้อเขียนที่หลุดลอดออกมาให้ทุกท่านได้อ่านจะไม่เกิดขึ้นเลยหากผมไม่ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียน "ศิริราช" เพราะคุณูปการอย่างหนึ่งที่ผมได้รับนอกจากความรู้ทางการแพทย์คือการรู้จักมองชีวิตในอีกหลายๆด้าน นอกเหนือจากด้านที่ถูกกำหนดให้มองเห็นจนคุ้นตา และนำมาวิเคราะห์กลั่นกรองออกมาเป็นข้อคิดเตือนใจตัวเอง

แล้วสำหรับเพื่อนแพทย์ทุกคนล่ะ นอกจากวิชาความรู้ที่ได้ โรงเรียน"ศิริราช" ได้สอนอะไรแก่ตัวคุณบ้าง?

ไม่ต้องตอบออกมาให้ทุกคนรู้ก็ได้ แค่ตอบให้ตัวคุณเองได้ยินก็พอ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรุ่น
ปรับปรุงใหม่ september 15,2006

Thursday, September 14, 2006

หนึ่งวันธรรมดา

อาชีพในฝัน

หากจะมีอาชีพใดถือปฏิสนธิขึ้นมาในยุคสมัยแห่งความรีบเร่งเฉกเช่นทุกวันนี้แล้วล่ะก็ ผมคิดว่าอาชีพ "คนกลางติดต่อธุรกรรม" ทั้งต่อหน่วยงานของหลวง,หน่วยงานของราษฎร์ และหน่วยงานของหลวงกึ่งราษฎร์(ที่มีคนพยายามจะขายทอดตลาด) น่าจะเวิร์คที่สุด

ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุให้ต้องขับรถเข้า-ออกตัวเมืองเป็นว่าเล่น เพื่อรวบรวมเอกสารสำคัญต่างๆสำหรับยื่นทำ วีซ่า เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา และเอกสารลับสุดยอด 2 อย่างของผมคือ statement แสดงความเคลื่อนไหวทางการเงิน(ที่ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะเคลื่อนไหวสักเท่าไร) และใบรับรองความเป็นข้าราชการ

คุณเชื่อไหม? ผมถูกมองด้วยสายตาดูแคลนแทบจะทันทีที่ถามว่า " ขอ statement ต้องทำอย่างไรบ้างครับ? ใช้เวลากี่วันถึงจะได้? เสียค่าใช้จ่ายเท่าไร?" จริงอยู่คงมีสยามชนหลายร้อยล้านคนรู้กรรมวิธีในการได้มาซึ่งเอกสารสำคัญเหล่านี่ แต่ที่ผมไม่รู้มันไม่ได้แปลว่าผิดนี่ครับ เสียเวลาในการข่มจิตไม่ให้โทสะจริตเข้าครอบงำอยู่ชั่วครู่ ก็นอบน้อมรับฟังอรรถาธิบายจากพนักงานรุ่นลายครามซึ่งคงเล็งเห็นแล้วว่า ถึงจะเหยียดหยามคนโง่อย่างผมก็คงไม่เกิดอะไรดีขึ้นมา

จะว่าไปแล้วอาชีพขายบริการทุกอาชีพ ย่อมต้องพบปะผู้คนหลากหลายไล่เรียงไปตั้งแต่รากหญ้า รากฝอย รากแก้ว ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ทำอะไรให้ถูกใจกลุ่มคนเหล่านี้ทั้งหมดคงเป็นเรื่องยาก ยิ่งคาดหวังให้เขาเข้าใจถึงกระบวนการ ระเบียบปฎิบัติ ในแต่ละหน่วยงาน ยิ่งยากส์ส์ส์ มั่กๆเข้าไปใหญ่

เคยเหมือนกันที่ปฎิบัติตัวดังเช่นพนักงานคนนั้น เวลามีคนไข้เข้ามาตรวจแล้วบอกว่าเจ็บคอ ผมก็ต้องส่องดูที่คอจริงไหม ว่ามันอักเสบหรือมีแผลหรือเปล่า ครั้นพอให้อ้าปากกว้างๆ คนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายมักจะมีคราบน้ำหมากเปรอะเปื้อนเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิเคี้ยวมาได้ไม่นาน ซ้ำร้าย บางคนยังมีศพหมาก ตามลิ้น ตามซอกฟัน ให้เห็นอีกด้วย หรือจะเป็นเด็กเล็กๆที่ทนรอตรวจนานไม่ได้ พ่อแม่มักจะปรนเปรอขนมนมเนยให้กินระหว่างนั่งรอ นี่ก็เต็มไปด้วยเศษอาหารเช่นกัน วันไหนอารมณ์ดีผมก็จะสอน ว่าคราวหลังให้บ้วนปากแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนมา รพ. แต่ถ้าวันไหนอารมณ์ บ่ จอย เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมา เคยถึงกับว่าไปแรงๆว่า เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่รู้กันเลยหรือไง $#%^&*

นี่ถ้าไม่เจอกับตัวเองคงคิดไม่ได้แน่ๆ

ส่วนใบรับรองยิ่งแล้วใหญ่ กำชับหนักหนาว่าต้องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ใบแรกที่ได้มากลับเป็นภาษาไทย!ครั้นพอไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่ ก็เกิดอาการ งง ขนานใหญ่ "เราไม่เคยออกเป็นภาษาต่างด้าวมาก่อนค่ะ" "แล้วของเพื่อนผมล่ะ ไปได้มาจากดาวไหน" พร้อมกับยื่นตัวอย่างให้ดู!! เป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน ผมจึงได้ถ่ายสำเนาตัวอย่างเก็บไว้ให้ลอก และนัดหมายวันเวลารับเป็นที่เรียบร้อย ใบที่สองเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาหน่อย แต่จะให้ เพอร์เฟคต์ รึ ไม่มีทาง

"ลืมประทับตราครุฑที่รูปครับ" "เราไม่มีตราครุฑภาคภาษาอังกษค่ะ" อึ้งไปหนึ่งยก "เอ ผมว่าเป็นครุฑสันชาติไทยก็ได้นะครับ" "แต่ใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษนะคะ" คราวนี้ได้ผลเกิดลังเลขึ้นมา ตัดสินใจโทรศัพท์ไปถามเพื่อนที่ผ่านวิกฤตการณ์เหล่านี้มาแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า "มึงปั้มไปเหอะ กูก็ปั้มครุฑไทยเหมียนกัน"
เป็นอันว่ากว่าจะได้ใบรับรองมาครอบครองต้องเสียทังเวลา เสียเงิน และเสียน้ำมันเบนซิล 91 ไปหลายลิตร

เฮ้อ! ถึงตอนนี้เห็นพ้องกับผมหรือยังครับ ว่าเราควรจะมีอาชีพในฝันแบบที่ว่ามาตั้งแต่ต้นเรื่องเสียที

september 14,2006
sirisak