Wednesday, October 11, 2006

ดูละครแล้วย้อนดูตัว

ภูมิคุ้มกัน"ละครไทย" ของผมลดลงไปมากในช่วงขวบปืที่ผ่านมา สังเกตจากอาการลุกลี้ลุกลนและทนไม่ได้จำเป็นต้องเลิกดูไปเลยหรือไม่ก็ข่มตาหลับไม่ให้รับรู้เรื่องราวเอาเสียดื้อๆ ครั้นจะเปลี่ยนบรรยากาศไปฟังข่าวก็เกิดอาการแปล๊บขึ้นมาอีก ค่าที่ทุกวันนี้มีแต่คนมานั่ง"เล่น"ข่าวไม่เห็นมีใครมานั่ง"อ่าน"ข่าวให้ฟังสักคน จะว่าหัวโบราณก็ไม่ใช่เพราะผมยังเชื่อว่าข่าวก็คือ ความจริง(fact)ถึงแม้กระบวนการที่ได้มาจะโดนครอบงำหรือบิดเบือนจากผู้มีอำนาจก็ตามที ผู้อ่านข่าวที่ดีต้องเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไป เพราะแบบนั้นมันก็เครือเดียวกับการฟังอาซิ้มข้างบ้านนินทาอาแปะบ้านตรงข้ามนั่นแหละ ทางออกที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการอ่านหนังสือ ดีเหมือนกันเผื่อการกระทำครั้งนี้จะช่วยเพิ่ม mean อัตราการอ่านหนังสือประชาชาติที่เขาว่ากันว่าอยู่ในระดับ 6 บรรทัดต่อคนต่อปีขึ้นมาอีกสักนิด

ที่ว่าทนละครไทยไม่ได้ก็เพราะ เนื้อหาและconcept ยังคงหมุนวนอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ตัวละครก็เหมือนอวตารแบ่งภาคจากอดีตหรือข้ามช่องมา แม้หน้าตาจะแตกต่างกันแต่อุปนิสัยใจคอเหมือนกันอย่างกับแกะ
ยกตัวอย่างเช่น

นางเอก ต้องสวยใส(ไร้สติได้ยิ่งดี) หัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย กตัญญู แอบโง่นิดๆ คิกขุอาโนเนะ มุมานะ อดทน ยิ้มสวย ไม่มีปากเสียงเถียงใครไม่เป็น อ่อนหวาน หากจะมีอาการขึงขังหรือสู้คนขึ้นมาได้ก็ต้องทำอย่างพองามกระเดียดไปทางน่ารักน่าเอ็นดู และไม่ผิดทำนองคลองธรรม

เพื่อนนางเอก ต้องทันคน พร้อมให้คำปรึกษาได้ทุกเมื่อ เป็นปากเป็นเสียงแทนนางเอก และมีบุคลิคทุกอย่างที่ผมคิดว่านางเอกอยากเป็นเพืยงแต่โอกาสไม่เอื้ออำนวย

พระเอก ต้องหล่อ รวยจนไม่สำคัญขอให้เป็นปฏิภาคกับนางเอกก็พอ หูเบา ถ้ารวยต้องเจ้าชู้มีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ มีแม่นม มีแม่บ้าน มีคุณหญิงแม่ที่ชอบออกงานสังคม ถ้าจนก็ต้องทำงานได้ทุกอย่าง มีคุณธรรมดีเริ่ดเหมือนผ่านการบวชเรียนและสำเร็จเปรียญธรรม 9 ประโยค ทำเพื่อนางเอกได้ทุกอย่าง รับได้หมดไม่ว่านางเอกจะผ่านชายมาแล้วกี่คนก็ตาม

เพื่อนพระเอก มักมีอาชีพเป็นหมอ เป็นทนาย และเป็นชนกลุ่มน้อยที่มองเห็นค่าในตัวนางเอกตั้งแต่แรกพบ

ตัวอิจฉา ต้องแรด ก๋ากั่น พูดอะไรก็มีแต่คนเชื่อเหมือนตัวเองเป็นเทพธิดาพยากรณ์ จอมวางแผน จอมบงการ ชอบเล่นหูเล่นตากับกล้อง(ไม่รู้ทำไม) ตอนท้ายเรื่องถ้าไม่สำนึกผิดบวชเป็นนางชี ก็ต้องตายสาสมกับผลกรรมที่ได้ก่อไว้

คนใช้ ใส่เสื้อ uniform นั่งนินทาเจ้านาย เป็นสายลับ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน และหน้าเดิมๆ

เนื้อเรื่อง ต้องเป็นรักต่างฐานันดรศักดิ์ พ่อแง่แม่งอน ตามกระแส เช่นช่วงไหนเพลงลูกทุ่งกำลังดัง ก็จะมีหนังแนว สาวน้อยคาเฟ่ ราชินีหมอลำ ราชินีเพลงฉ่อยเพลงอีแซว สาวน้อยร้อยล้าน สาวน้อยร้อยกีบ หากเปลี่ยนเป็นแนวลึกลับก็มักจะผลิตออกมาซ้ำๆ เช่น อมฤตาลัย อนินทิตา เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เหยื่อมดเหยื่อมาร หากนางเอกจะเป็นโรคร้ายก็มักจะมี choice ให้เลือกแค่ มะเร็งในสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อคงความสวยงามของรูปโฉมโนมพรรณ เพราะคงไม่มีใครอยากเห็นนางเองเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งจิ๋มแน่ๆ และแทบทุกเรื่องต้องมีฉากปลุกปล้ำ ฉากที่นางเอกประเหมาะเคราะห์ร้ายแอบเห็นพระเอกเปล่าเปลือยท่อนบนหรือไม่ก็ท่อนล่าง และต้องแสดงอะไรที่มันฝืนธรรมชาติมากๆคือเหนียมอายพร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่น!

เพราะเหตุใดต้องเป็นเช่นนื้? ผมลองวิเคราะห์เล่นๆ แล้วได้ข้อสรุปออกมา 2 ข้อที่พอจะอธิบายได้คือ

1.สังคมโลกส่วนใหญ่เป็นสังคมปิตาธิปไตย ที่นับถือบูชาความเป็นผู้ชาย ความแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องมีปัจจัยมาสนับสนุนเพื่อยกฐานะและเสริมสร้างความเชื่อในระบอบนี้ นั่นก็คือความเรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก น่าทะนุถนอม เพื่อเป็นข้ออ้างอันชอบธรรมในการที่จะสยายปีกเข้ามาปกป้องคุ้มครอง ให้อยู่ในลู่ในทางที่ตนต้องการ และมันก็ช่างสอดรับกับค่านิยมของลูกหลานไทยมาตั้งแต่สมัย victoria ว่าคนที่จะอยู่ภายใต้ปีกนี้จะต้องเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การปกป้อง ซึ่งก็คือคุณสมบัตของนางเอกที่ได้จาระไนมาแล้วตั้งแต่ต้น ส่วนอีพวกที่ออกนอกลู่นอกทาง(นางอิจฉา) ก็จำต้องได้รับผลกรรมที่มันก่อไว้อย่างสาสม ส่วนพระเอกจะทำเหี้ยอะไรก็ได้ไม่มีใครว่าหากยังทำหน้าที่ปกป้องนางเอกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง!

2.สังคมไทยไม่ใช่สังคมอุดมปัญญาแต่เป็นสังคมอุดมไปด้วยระบบวรรณะหรือระบบชนชั้น เนื้อเรื่องของละครจึงสะท้อนภาพจินตนาการร่วมของคนในสังคมทั้งหลาย ที่อยากจะปลดเปลื้องตัวเองออกจากระบบ ถ้าหากทำในชีวิตจริงมันยากเย็นแสนเข็ญนัก ก็ต้องใช้ตัวกลางในการเป็นสื่อเพื่อพาตัวเองเดินทางไปยังสังคมอุดมคติที่อยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีเรื่องฐานันดร อิทธิพล อำนาจมืดเขามาเกี่ยวข้อง และลองสังเกตดูสิคุณธรรมความดีมักจะชนะอำนาจชั่วเหล่านั้นได้ก็แค่ในละคร!

เป็นไงครับ เหตุผลของผมพอจะไปวัดไปวาได้ไหม อาจจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผมก็ได้เพราะมันก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นเอง

ถึงตรงนี้ผมเลยคิดว่าไม่แปลกหากจะมีใครก่นด่าละครไทยว่าน้ำเน่าไร้สมองไม่มีทางเป็นไปได้แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย

เพราะละครไทยมีไว้รับใช้จินตนาการเท่านั้น


No comments: